|
1. RR. Proctor คือใคร และเหตุใดจึงต้องมีการทดสอบการบดอัดดินแบบ
Standard และ Modified |
|
2. ในการทดสอบการบดอัดดิน (Compaction)
เพื่อหาเส้นโค้งการบดอัด (Compaction Curve) เหตุใดจึงควรนำเอาดินที่จะทำการบดอัดมาผึ่งให้แห้งก่อนทดลอง |
|
3. ดินที่จะนำมาทำการทดลอง Compaction
Test ต้องร่อนผ่านตะแกรงเบอร์อะไร เพราะเหตุใด |
|
4. ดินชนิดใดที่ควรให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษในการทำการบดอัดในห้องปฏิบัติการ
เพราะเหตุใด |
|
5. การทดลอง Compaction Test ควรมีการเปลี่ยนค่าความชื้นอย่างไร |
|
6. จงอธิบายเปรียบเทียบความแตกต่าง
, ข้อดี ข้อเสีย ในการบดอัด Dry Side of Optimum
กับ Wet Side of Optimum |
|
7. ปัจจัยสำคัญที่ทำให้การทดลองเรื่อง
Compaction มีข้อผิดพลาดเนื่องจากการใช้ตัวอย่างดินชุดเดิม
คืออะไร |
|
8. การตรวจสอบผลการทดลองเรื่อง Compaction
อย่างง่ายๆ ว่าเป็นการทดลองที่ให้ผลถูกต้องเป็นที่น่าเชื่อถือโดยการพิจารณากราฟ
คืออะไร ตอบมาอย่างน้อย 2 ข้อ |
|
9. อะไรคือความแตกต่างที่สำคัญที่สุด
ระหว่าง Standard Compaction และ Modified Compaction
ตอบมาเพียงคำเดียว |
|
10. เกณฑ์ในการพิจารณาเลือกทดสอบการบดอัดดินว่าควรจะใช้
Standard Compaction หรือ Modified Compaction คืออะไร |
|
11. จง Sketch กราฟ Compaction Curve ของการบดอัดแบบ Standard
Compaction และ Modified Compaction อย่างคร่าวๆ
ระบุด้วยว่าแกนตั้งและแกนนอนคืออะไร เพราะเหตุใดกราฟที่ได้จึงมีลักษณะนี้
|
|
12. สมมุติว่านิสิตกำหนดมาตรฐานในการบดอัดขึ้นมาเอง โดยใช้อุปกรณ์ดังต่อไปนี้
|
|
- ขนาดของ Mold : Diameter |
= 6 นิ้ว , ส่วนสูง = 6 นิ้ว |
|
- น้ำหนักของ Hammer |
= 12 ปอนด์ (lb) |
|
- จำนวน Layer |
= 4 |
|
- Height of Drop |
= 10 นิ้ว |
|
- จำนวน Blow ต่อ Layer |
= 24 |
|
จงหาปริมาณพลังงานต่อหน่วยปริมาตรที่ใช้ในการบดอัด(ft.lb/ft3) |
|
|
13. จง Sketch กราฟ Compaction Curve
ที่ได้จากการบดอัดตามมาตรฐานในข้อ 12 เทียบกับ Standard
และ Modified Compaction ในข้อ 11 |
|
14. จงเขียนกราฟ (Typical Compaction
Curve) เพื่อเปรียบเทียบลักษณะของกราฟ ของดินชนิด |
|
1. Clayey Soil |
|
|
2. Sand |
|
|
3. Lateritic Soil |
|
|
4. Crushed Rock |
|
|
ตามที่ท่านได้ทำการทดลองมาดูพอเป็นสังเขป |
|
|
15. Relative Compaction คืออะไร |
|
16. ดินชนิดหนึ่งมีค่า ความหนาแน่นแห้งสูงสุดภายหลังการบดอัดเท่ากับ
1.93 t/m3 และเมื่อ นำดินนี้ไปใช้บดอัดในสนาม
ทดสอบค่าความหนาแน่นแห้งในสนาม ได้ค่าเฉลี่ย
เท่ากับ 1.81 t/m3 ดินชนิดนี้ มีค่า เปอร์เซ็นต์การบดอัด(Relative
Compaction) เท่าใด |
|
17. การทำ Trial Section สำหรับงานบดอัดดินจะต้องพิจารณาปัจจัยที่สำคัญคืออะไร |
|
18. ในการหาค่า Optimum Water Content
และ Maximum Dry Density อาจมีความจำเป็นต้องใช้กราฟอธิบายผลการทดลองการบดอัด
ให้นิสิตเลือกว่าจะใช้สมการใด ในการอธิบายกราฟ |
|
|
1. y = A e(BX + C) |
โดยที่ A, B, C เป็นค่าคงที่ใดๆ
และ A>0 |
|
2. y = Ax2 + BX + C |
โดยที่ A, B, C เป็นค่าคงที่ใดๆ และ A>0 |
|
3. y = A sin (BX + C) |
โดยที่ A, B, C เป็นค่าคงที่ใดๆ |
|
4. y = A ln (BX + C) |
โดยที่ A, B, C เป็นค่าคงที่ใดๆ และ A>0,
B>0, C>0 |
|
หมายเหตุ : Y = แกนตั้ง ,
X = แกนนอน |